เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยที่รายได้อยู่ในระดับที่สามารถเสียภาษีได้แล้ว เชื่อว่าหลายคนต้องการจัดการการเงินของตนเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากมีนโยบายที่ช่วยสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยและได้ทำให้ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีด้วย น่าจะเป็นอะไรที่ตรงใจอย่างมาก อย่าง Easy e-Receipt 2567 ก็เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคของประชาชน โดยผู้บริโภคที่มีเงินได้แบบบุคคลธรรมดาจะได้รับการลดหย่อนภาษีผ่านการซื้อสินค้าและบริการด้วย ทั้งนี้โครงการมีข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ทุกคนควรทำความเข้าใจก่อนเข้าร่วมโครงการ

Easy e-Receipt 2567 กับเงื่อนไขของผู้ที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้

กลุ่มเป้าหมายของโครงการ Easy e-Receipt 2567 คือกลุ่มผู้ที่มีรายได้สุทธิในฐานที่สามารถเสียภาษีได้แล้ว ซึ่งกลุ่มผู้มีรายได้นั้นแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท จึงต้องทำความเข้าใจก่อนว่าตัวคุณเองมีรายได้ตามเกณฑ์ที่โครงการกำหนดอย่างไรบ้าง และอัตราการลดหย่อนภาษีสูงสุดที่จะได้รับอยู่ที่เท่าไร

1. ผู้มีเงินบุคคลธรรมดา คืออะไร

ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดา คือบุคคลทั่วไปที่มีหน้าที่เสียภาษีเมื่อมีรายได้เกิดขึ้น มีสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นเราทุกคนที่ทำงานมีเงินเดือน เป็นเจ้าของธุรกิจที่มีรายได้จากกิจการ หรือแม้แต่การทำงานเสริมต่าง ๆ แล้วมีรายได้ ไม่ว่าจะเป็นงานประเภทใดก็ตาม หากมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีก็ต้องยื่นเสียภาษีตามกฎหมาย 

ทั้งนี้ ข้อกำหนดของโครงการ Easy e-Receipt 2567 กำหนดว่า ต้องเป็นผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น ไม่รวมห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล โดยคำว่าห้างหุ้นส่วนสามัญก็คือองค์กรธุรกิจที่เกิดจากสัญญาระหว่างบุคคล 2 คนขึ้นไป จึงไม่สามารถใช้สิทธิ์ในนามของบริษัทได้ ในขณะที่คณะบุคคลที่มิใช้นิติบุคคลหมายถึงบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปที่ตกลงกระทำการร่วมกันเช่นกัน แต่ไม่ใช่ในรูปแบบห้างหุ้นส่วนสามัญที่ตกลงทำธุรกิจและแบ่งปันผลกำไรกันตามสัดส่วน

2. เงินได้สุทธิไม่เท่ากัน อัตราลดหย่อนเท่ากันหรือไม่

อัตราการเสียภาษีขึ้นอยู่กับฐานรายได้ของแต่ละคน สิทธิในการได้รับลดหย่อนภาษีจึงมีอัตราที่แตกต่างกันตามไปด้วย สำหรับโครงการ Easy e-Receipt 2567 ที่ใช้สิทธิสูงสุดได้ที่ 50,000 บาท ไม่ใช่การนำยอดเงินที่ซื้อสินค้าและบริการไปลดหย่อน แต่เป็นการคำนวณจากฐานภาษี จนได้เป็นเปอร์เซ็นต์ตามฐานออกมา ยิ่งเป็นผู้ที่มีฐานภาษีสูงหรือเสียภาษีมากกว่า ก็ยิ่งได้เปอร์เซ็นต์ลดหย่อนที่มากกว่า แม้จะใช้จ่ายในจำนวนเต็ม 50,000 บาทเท่ากัน

Easy e-Receipt 2567 ซื้ออะไรได้บ้าง และซื้ออะไรไม่ได้บ้าง

เงื่อนไขหลักของประเภทสินค้าและบริการที่ใช้สิทธิ Easy e-Receipt 2567 ได้คือ จะต้องเป็นสินค้าและบริการที่ซื้อหรือใช้ภายในประเทศไทยเท่านั้น และร้านค้าหรือกิจการต้องออกใบกำกับภาษีเต็มรูปอิเล็กทรอนิกส์ให้ได้ จึงเป็นสินค้าและบริการประเทศที่เสียภาษี VAT อยู่แล้ว ยกเว้นสินค้าประเภทหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือ OTOP และหนังสือต่าง ๆ ที่ใช้เป็นใบรับอิเล็กทรอนิกส์แทนได้ วิธีการดูอย่างง่าย ๆ ว่าสินค้าและบริการอะไรที่ซื้อได้บ้าง มีดังนี้

1. สินค้าและบริการแบบที่ใช้สิทธิได้ดูอย่างไร

อย่างแรกที่สามารถดูได้ง่าย ๆ ว่าจะซื้อสินค้าและบริการที่ใช้สิทธิ์ Easy-eRceipt 2567 จากร้านใดได้บ้าง ร้านที่เล็งไว้จะซื้อได้หรือเปล่า ให้ตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการได้จากเว็บของกรมสรรพากร ประการต่อมาคือเป็นสินค้าที่โดยปกติต้องเสีย VAT หรือภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว หากเป็นสินค้าหรือบริการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและผู้ประกอบการไม่มีหน้าที่ออกใบกำกับภาษีก็ไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้ เช่น ทองคำแท่ง ปุ๋ย เคมีภัณฑ์สำหรับการเกษตร สัตว์เลี้ยง การเช่าอสังหาริมทรัพย์ บริการในสถานพยาบาล อาหารสัตว์ เป็นต้น นอกจากนี้สิทธิ์ยังไม่รวมถึงค่าซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือ ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับยานพาหนะ ค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ และค่าเบี้ยประกันวินาศภัย

2. บริการที่ต้องอาศัยเวลาดำเนินการ ซื้ออะไรได้บ้าง 

เนื่องจากเงื่อนไขของระยะเวลาที่ใช้สิทธิ์คือ 1 มกราคม-15 กุมภาพันธ์ 2567 บริการบางประเภทที่มีระยะเวลาให้บริการไม่เกินช่วงเวลาดังกล่าวและออกใบกำกับภาษีได้ ก็สามารถใช้สิทธิ์ได้ เช่น การเข้าพักในโรงแรม แพ็กเกจท่องเที่ยวในประเทศ บริการซ่อมบ้าน บริการซ่อมรถ เป็นต้น ทั้งนี้ สิทธิ์จะไม่รวมถึงค่าบริการประเภทการสมัครสมาชิกรายปี เพราะเกินช่วงระยะเวลาที่กำหนด

เมื่อเข้าใจเงื่อนไขของโครงการ Easy e-Receipt 2567 แล้ว สิ่งที่ควรทำต่อไปคือ การวางแผนเพื่อซื้อสินค้าและบริการ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบรายชื่อร้านค้า กิจการ และบริการต่าง ๆ ที่สามารถออกใบกำกับภาษีออนไลน์ได้ เล็งเอาไว้ให้ดีว่าอยู่ในระยะเวลาที่ซื้อได้ตามระยะเวลาของโครงการหรือไม่ ได้ลดหย่อนภาษีทั้งที โอกาสนี้ต้องได้รับความคุ้มค่าจากการจับจ่ายใช้สอยด้วย